แต่คนที่มั่นใจมักเลือกที่จะลงมือทำแม้กลัว หรือรู้สึกไม่พร้อม ระหว่างที่ทัศน์กำลังรู้สึกว่าไร้จุดหมาย และตามหาจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของตัวเอง ได้พยายามทำความเข้าใจตัวเอง และตามหาว่า เป้าหมายใหม่ของตัวเองคืออะไร เราต้องการให้ตัวเองเป็นอะไรภายใน 5 ปีหลังจากนี้
ครุ่นคิดกับตัวเองได้ 3 ส่วน แบบนี้ค่ะ...
1. ครอบครัว เราแค่ต้องทำความเข้าใจ ให้เวลา และรักษาไว้
2. เพื่อน เรามีเพื่อนสนิทไว้บ่น ไว้คุยทุกวัน สัก 2-3 คนก็อุ่นใจแล้ว
3. งาน เราต้องค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทของตัวเอง ถอยไปอยู่ข้างหลัง คอยเป็นกำลังเสริมให้น้องๆ
ขณะที่อยากเข้าใจตัวเอง Google Search พาให้ทัศน์รู้จักคำว่า จิตวิทยา เมื่ออ่านเกี่ยวกับจิตวิทยาแล้วนอกจากจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น ทัศน์ยังมองคนอื่นได้อย่างเข้าใจมากขึ้นด้วยค่ะ
ลองนึกตามที่ทัศน์จะเล่าต่อจากนี้นะคะ ทัศน์เจอเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ควบคุมไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน เราเริ่มใจเย็นลง และเข้าใจว่าตัวเองผ่านเรื่องนั้นมาอย่างดี แต่ถ้ามีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรากลับร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เต็มไปด้วยความสงสัยว่าการที่เราแสดงออกแบบนี้เพราะอะไร การที่เราคิดว่าเราปล่อยผ่านได้ แต่เจอเหตุผลในบทความหนึ่งบอกไว้ว่า นั่นมันเป็นแค่การปลอบใจตัวเอง หากเราเย็นลงได้จริงสามารถเรียกได้ว่าปล่อยผ่าน หากบอกว่าปล่อยผ่านได้แต่เมื่อมีการพูดถึงเรื่องนั้นเรายังขุ่นเคืองในใจและพร้อมระเบิดออกมา นั่นเป็นแค่การปลอบใจและทำร้ายตัวเอง
สิ่งที่จะช่วยให้ปล่อยผ่านได้จริง คือการจริงใจต่อตัวเอง เข้าใจตัวเอง
ตอบตัวเองให้ได้ว่า เหตุการณ์นั้นเราต้องการอะไรอีกไหม ยอมรับในตัวเองไหม ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
เราต้องชัดเจนกับตัวเอง ไม่มีอะไร 100% ชีวิตไม่ได้มีแค่ถูกหรือผิด แค่ต้องเรียนรู้ ความผิดพลาด ความผิดหวังที่เข้ามาล้วนมาเติมเต็มให้เราเป็นเราที่เข้มแข็งขึ้นในวันนี้
รู้สึกได้ว่า เมื่อยอมรับตัวเอง ก็สดใสและเข้มแข็งขึ้น
และแล้วช่วงเวลาของการเปลี่ยนก็มาถึง งานหลักในหน้าที่ยังเป็นงานเดิม แต่ย้ายห้องทำงาน มีเพื่อนร่วมงานใหม่ หัวหน้าคนใหม่ เหมือนเราต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับผู้คน
การรักษาความสม่ำเสมอที่จะโพสต์ BLOG ทุกเดือน ขาดหายไปเพราะทัศน์ย้ายห้องทำงาน งานหลักยังเป็นงานเดิม แต่มีเพื่อนร่วมงานใหม่ หัวหน้าคนใหม่ ทำงานอยู่ตึกใหม่ รู้สึกยินดีกับตัวเองในการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในครั้งนี้ สิ่งแรกที่ได้ คือ เดินมากขึ้น ห้องทำงานอยู่ชั้น 3 การเดินไปมาระหว่างตึกเพื่อประสานงานกับฝ่ายอื่นทำให้มีช่วงเวลาผ่อนคลายจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มากขึ้น เสพสุขเล็กๆ จากการคิดบวก เมื่อก่อนคงคิดว่าเดินขึ้นลงชั้น 3 เหนื่อยไปแล้ว เพื่อนร่วมงานใหม่ เขาจะเป็นยังไงก็ช่างเขา เราก็เป็นเราแบบนี้ แค่ทำงานด้วยกันก็พอ ลองเทียบดูค่ะ ความรู้สึกที่เราได้รับจากความคิดของเรามันต่างกันมาก
มีโอกาสได้ทักทายคนใหม่ๆ อยู่ในบรรยากาศแวดล้อมใหม่ๆ นับว่าสดใสขึ้นจากเดิม ที่เดิมอยู่กับความรู้สึกไม่ใช่ ไม่สนใจแวดล้อม อยู่กับตัวเองมากเกินไป กลายเป็นราบเรียบไร้ซึ่งความท้าทายหรือน่าตื่นเต้น
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีโอกาสดีดีเกิดขึ้น คือ การได้ร่วมงานกับรุ่นน้องที่เป็นผู้ชาย ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด กลายเป็นว่าคุยกันได้ตรงๆ ไปกินข้าวด้วยกันได้แบบไม่ต้องเกรงใจ แต่ละคนมีความรับผิดชอบ แถมด้วยสีสันจากน้อง Gen Y
ตลอดหลายปีมานี้ ทัศน์คิดว่าตัวเองค่อนข้างหัวโบราณและยึดติด ไม่น่าจะทำงานร่วมกับ Gen Y ได้ แต่พอได้เรียนเกี่ยวกับจิตวิทยา 2 คอร์สออนไลน์ และทราบมาว่า Gen Y เขาไม่ชอบการวางอำนาจ เขาอาจจะไม่ฟังคำสั่ง ไม่ชอบคำพูดที่บอกว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน เราที่เป็น Gen X ควรต้องปรับตัวเข้าหา เมื่อเรามอง Gen Y ด้วยความเข้าใจ กลายเป็นทัศน์มีโอกาสได้เจอน้อง Gen Y ที่สื่อสารกันได้ดีกว่าที่คาด
หัวหน้าให้อิสระในการทำงาน เป็นพี่ที่มีน้องๆ ช่วยทำงาน ช่วงเวลานี้เองทำให้ทัศน์รู้สึกเปลี่ยนจากที่ชอบทำงานเอง กลายเป็นอยากเป็นคนคิด เสนอแนะ คอยช่วย และมีความสุขในใจที่เห็นงานสำเร็จได้เพราะน้องๆ ทำ😊
ทำให้พบว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้ยึดติดขนาดนั้น สามารถปรับความคิดได้ แค่เปิดใจให้โอกาสตัวเองได้มองอะไรในมุมบวก เมื่อเราคิดบวก พลังบวกจะอยู่กับเรา ดึงดูดคนพลังบวกเข้าหา มองด้านดีเอาไว้นะคะ ความสุขอยู่ที่ความคิดของเราค่ะ