ย้อนกลับไปเมื่อปี 2563-2564
บทสนทนากับพี่ที่สนิทใจ (พี่ที่เป็นเจ้าของคำพูด "ถ้าเธอไม่ทำก็ไม่มีทางรู้ว่าทำได้ แต่ถ้าเธอลงมือทำ เธอจะรู้ว่าเธอทำได้หรือไม่ได้")
...
เรา : หนูรู้สึกเบื่อ ถดถอย ไม่รู้จะเอายังไงกับตัวเองดี
พี่ที่น่ารัก : เธออออ..มันเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต ทุกคนต้องเจอ จะช้าหรือเร็ว พี่ผ่านจุดนั้นมาแล้ว พี่เข้าใจ พี่รู้ว่าคนแบบเธอน่ะไม่หยุดอยู่เท่านี้หรอก เธอเป็นคนที่...(เสียดายที่จำไม่ได้ว่าพี่เขาใช้คำว่าอะไร แต่จำว่าเป็นคำที่ออกจะให้กำลังใจ)
เริ่มต้นปี 2564 แบบไม่ได้คาดหวังกับตัวเองมาก แค่ขอให้ตัวเองทำอะไรที่ให้ค่าตัวเองบ้าง ได้โจทย์กับตัวเองว่าทำคลิปสอนในยูทูปช่อง "สื่อคนท้องถิ่น" เดือนละ 2 คลิปเป็นการวัดความพยายาม ความสม่ำเสมอ สิ่งที่ได้ก็คือคนที่กดติดตามที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้ยอดผู้ติดตามตามเป้าก็ให้รางวัลตัวเอง ซึ่งตอนแรกตั้งรางวัลไว้ที่สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ แต่ ณ เวลานั้น ซื้อเครื่องดูดฝุ่นไร้สายกับเครื่องซักผ้าฝาหน้าให้ตัวเอง มันเป็นสิ่งที่อยากได้มานานแล้ว...และเหมือนยังคอยบอกตัวเองให้พยายามทำคลิปสอนควบคู่กับเขียนบล็อกต่อไป จนในที่สุดก็ให้สมาร์ทโฟนกับตัวเองในช่วงต้นปี 2565 เป็นการขอบคุณตัวเองที่มีความพยายาม
ในปี 2564 การทำคลิปสอนและเขียนบล็อกมันคือการได้ทำในสิ่งที่ชอบ ถ้าวกมาที่หน้าที่การงานในความรับผิดชอบ เราอยู่ในจุดที่ไม่รู้จะเอายังไงกับตัวเอง อาจจะเพราะการไม่ได้เลื่อนระดับมาเป็นเวลา 5 ปี นั่นเอง ก็เลยมีความรู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง ถึงกับให้โอกาสตัวเองได้ลองทำในสิ่งที่คิดมาตลอดว่าไม่เหมาะกับตัวเอง นั่นก็คือ การมองไปที่ตำแหน่งสายบริหาร
เมื่อคิดว่ามันคือการให้โอกาสตัวเองได้...
1. ได้อ่านหนังสือ เอาระเบียบ กฎหมายเข้าหัวบ้าง
2. ได้ประสบการณ์การสอบ ได้อยู่ในบรรยากาศ ขั้นตอนการสรรหาเกิดอะไรขึ้นบ้าง
3. ได้ทดสอบตัวเองว่ายังมีความสามารถอยู่ไหม
เป้าหมายสูงสูดตอนนั้นคือ อยากมีโอกาสในการสอบสัมภาษณ์
และแล้วเราก็อยู่ในรุ่นการสอบตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย รุ่นมหากาพย์ มีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการสอบที่มีค่ามาก เราสอบผ่าน 60% มาได้ ด้วยความพยายามอ่านหนังสือในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน อ่านจริง ๆ ก็ไม่นาน นั่นหมายความว่าเรามีความเข้าใจภาพรวมขององค์กรประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนกฎหมายอ่านไว้นาน อ่านไว้เยอะก็ค่อนข้างไม่ได้ผลเพราะเราไม่ได้มีความสามารถในการจดจำหรือเข้าใจกฎหมายขนาดนั้น
ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวเองดีว่า ยังชอบทำงานในตำแหน่งเดิม ความรับผิดชอบเดิม เพราะอิสระได้มากกว่า ให้อายุมากกว่านี้ ใจเย็นกว่านี้ หรือใกล้เกษียณค่อยไปสายบริหารก็ยังทัน คิดได้แบบนั้นแต่ยังตกอยู่ในพะวงที่รู้สึกเสียดายหากไม่เลือกที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย ว่าแล้วก็ต้องให้เหตุผลที่ดีพอกับตัวเอง
หลายเรื่องเราจะบวกลบแค่ข้อดี-ข้อเสียไม่ได้ ต้องถามใจตัวเองดีดี คนเราเมื่ออยู่จุดที่สับสนให้กลับไปมองเป้าหมายที่วางเอาไว้ตอนต้น เราจะชัดเจนกับตัวเองมากขึ้น (ต้องยืมประโยคนี้มาจากซีรีส์เรื่องหนึ่ง) เมื่อย้อนกลับไปมองเป้าหมาย เราวางเอาไว้ที่การมีโอกาสได้สอบสัมภาษณ์ เราได้บรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว ถือว่าเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ ที่เป็นพลังบวกให้ตัวเองได้
การพยายามหาอะไรทำ และยินดีกับตัวเองเมื่อได้รับความสำเร็จเล็ก ๆ เช่น การยินดีกับตัวเองเมื่อผู้ติดตามในช่องยูทูปเพิ่มขึ้น ยิ้มดีใจเมื่อมีคอมเม้นต์เชิงบวก เฝ้ามองผักเติบโต ถ่ายรูปดอกมิกกี้เมาส์ที่ออกดอกให้เพื่อนดู ความสำเร็จเล็กๆ เรื่องดีดีเล็กน้อยสามารถเป็นกำลังใจให้ตัวเราเองได้ค่ะ
แต่ละคนอาจจะพบเจอเรื่องราวที่ทำให้เบื่อต่างกัน แต่ทุกคนก็ต้องหาวิธี ลองจนกว่าจะเจอวิธีแก้ที่เหมาะหรือตรงกับจริตตัวเอง ที่สำคัญคือให้โอกาสตัวเองได้ทำอะไรใหม่ พบเจอสิ่งใหม่ๆ ตามหาความสำเร็จใหม่เล็กๆ น้อยๆ แล้วเราจะมีพลังให้ก้าวต่อไปแน่นอนค่ะ